เปิดนโยบายทรัมป์ ก้าวสู่ยุคทองใหม่
โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ได้เข้าพิธีสาบานตน และขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 47 เรียบร้อยแล้ว ในพิธีดังกล่าว ทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์ประกาศอย่างเป็นทางการถึงการเริ่มต้นยุคทองใหม่ของอเมริกา โดยเขาเชื่อมั่นว่าสหรัฐอเมริกาจะกลับมาเจริญรุ่งเรืองและได้รับความเคารพนับถือจากนานาชาติอีกครั้ง
ในสุนทรพจน์ดังกล่าว ยังมีการประกาศนโยบายใหม่ที่นายทรัมป์มีแผนจะดำเนินการ โดยนโยบายเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงจากนโยบายเดิมของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนอย่างมีนัยสำคัญ
เพื่อให้เห็นภาพรวมของนโยบายใหม่นี้ ขอสรุปเป็นประเด็นสำคัญดังนี้:
1. การถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก (WHO): ทรัมป์ได้ประกาศถอนตัวจาก WHO ด้วยเหตุผลที่มองว่าองค์กรนี้จัดการปัญหาการระบาดของโควิด-19 อย่างไร้ประสิทธิภาพ ทรัมป์ยังแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับการถูกเรียกร้องเงินชดเชยจาก WHO ซึ่งเขามองว่าไม่เป็นธรรม
2. การถอนตัวจากความตกลงปารีส: ทรัมป์ได้นำประเทศออกจากความตกลงปารีสที่ว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยให้เหตุผลว่า ข้อตกลงนี้กระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และขัดขวางการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศ
3. ภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ: ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน เพื่อเพิ่มการผลิตพลังงานในประเทศ ด้วยการเพิ่มการขุดเจาะน้ำมัน วางท่อใหม่ และสร้างโรงกลั่นเพิ่มเติม เพื่อลดราคาพลังงานในสหรัฐฯ
4. นโยบายการค้าใหม่: ทรัมป์ได้ประกาศยกเครื่องระบบการค้าของสหรัฐฯ โดยเก็บภาษีอากรจากสินค้านำเข้า เพื่อสนับสนุนความก้าวหน้าของชาวอเมริกัน แทนการเก็บภาษีในประเทศเพื่อนำไปสนับสนุนประเทศอื่น
5. การควบคุมการอพยพ: ทรัมป์ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินที่พรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก และสั่งยกเลิกการให้อัตโนมัติสัญชาติอเมริกันสำหรับบุตรของผู้อพยพที่เกิดในสหรัฐฯ นโยบายนี้เป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมแรงงานต่างขาติ ซึ่งยังมีอีกหลายมาตรการที่กำลังจะตามมา
6. การปฏิรูปการจ้างงานในรัฐบาลกลาง: ทรัมป์ได้สั่งระงับการจ้างงานตำแหน่งใหม่ในรัฐบาลกลาง และยกเลิกการทำงานจากระยะไกล ยกเว้นในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมผู้เข้าเมือง ความมั่นคง และความปลอดภัย
7. รับรองแค่เพศชายและหญิง: คำสั่งที่ออกให้หยุดส่งเสริมอุดมการณ์ทางเพศและหน่วยงานของรัฐบาลสามารถรับเฉพาะเพศชายและหญิงเท่านั้น
8. นิรโทษกรรมผู้โจมตีรัฐสภา: ทรัมป์ได้ให้นิรโทษกรรมแก่ผู้ที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์โจมตีรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 เพื่อยุติคดีที่ยังค้างคาอยู่
9. การเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก: การเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา ถือเป็นอีกความพยายามที่จะให้สหรัฐฯ เป็นศูนย์กลางการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ
10.การยกเลิกนโยบายส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า : การตัดสินใจนี้อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตและมีศักยภาพในการลดมลภาวะ ยานยนต์ไฟฟ้าถือว่าเป็นหนึ่งในวิธีสำคัญในการแก้ไขปัญหามลพิษและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การยกเลิกโปรโมชั่นอาจทำให้ผู้ผลิตต้องทบทวนแผนการลงทุนใหม่ และอาจทำให้ผู้บริโภคสูญเสียความสนใจในการเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
11.การชะลอการแบน TikTok ในสหรัฐฯ : หลัง TikTok ถูกแบนไปในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2025 แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมง เมื่อทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดี แอปฯ ก็กลับมาใช้ได้ตามปกติ นอกจากที่ทรัมป์ได้ให้ขยายเวลาหาเจ้าของใหม่ในสหรัฐฯให้ได้ภายใน 75 วัน ยังสะท้อนถึงความซับซ้อนในการจัดการกับความกังวลด้านความมั่นคงและข้อมูลส่วนบุคคลที่แอปฯ สัญชาติจีนนำพาเข้ามา ช่องว่างเพียง 75 วันนี้อาจยังไม่พอในการทำให้ดีลประสบความสำเร็จ และมีความเป็นไปได้ว่าการแบนจะเกิดขึ้นอีกถ้า TikTok ไม่สามารถตอบสนองเงื่อนไขได้
นโยบายอื่นที่น่าจับตา
-การขึ้นภาษีสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% : สามารถนำไปสู่การเจรจาทางการค้าใหม่ การเพิ่มความตึงเครียดในความสัมพันธ์ทางการค้าอาจมีผลกระทบทั้งต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสินค้าเหล่านั้นเป็นสินค้าที่มีบทบาทสำคัญในตลาดของสหรัฐฯ
-การเจรจาระหว่างยูเครนและรัสเซียเพื่อยุติสงคราม : เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญและท้าทาย ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศนี้ได้ทวีความรุนแรงมานาน และมีผลกระทบที่ลามไปยังเศรษฐกิจโลก การเจรจาที่ยุติธรรมและมีประสิทธิภาพสามารถนำไปสู่ความสงบสุขและเสถียรภาพในภูมิภาคได้
ผลกระทบต่อราคาทองคำ
1. ภาวะเศรษฐกิจและการถอนตัวจาก WHO และความตกลงปารีส : การถอนตัวจาก WHO และความตกลงปารีสอาจสร้างความไม่แน่นอนในตลาดโลก ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพเศรษฐกิจ สิ่งนี้สามารถผลักดันให้นักลงทุนหันมาถือทองคำมากขึ้นในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
2. นโยบายพลังงานและการประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน : การเพิ่มการผลิตพลังงานในประเทศอาจทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงได้ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและขนส่งลดลง อาจทำให้การลงทุนในทองคำลดลงในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ความผันผวนในตลาดพลังงานอาจทำให้นักลงทุนยังคงต้องการถือทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง
3. นโยบายการค้าและการปรับภาษีนำเข้า : นโยบายการค้าใหม่ที่เน้นการเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้นอาจทำให้เกิดการตอบโต้ทางการค้าจากประเทศคู่ค้า ส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนและราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ทองคำอาจถูกมองว่าเป็นที่หลบภัยที่ดีในสภาวะเช่นนี้
4. การยกเลิกการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า : การยกเลิกนโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าอาจลดโอกาสในการลงทุนในเทคโนโลยีที่ยั่งยืน และเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาดสิ่งแวดล้อม นักลงทุนอาจเลือกที่จะถือทองคำมากขึ้นหากเห็นว่าการลงทุนในอุตสาหกรรมอื่นไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจได้
5. การขึ้นภาษีสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25%: นโยบายดังกล่าวอาจเพิ่มความตึงเครียดในความสัมพันธ์ทางการค้า การเพิ่มขึ้นของภาษีสามารถทำให้เกิดการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าที่อาจส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศที่เกี่ยวข้องชะลอตัว แต่ในเวลาเดียวกัน หากนักลงทุนเห็นว่านโยบายเหล่านี้เป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ก็อาจทำให้พวกเขาหันมาลงทุนในทองคำซึ่งถือว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
6. การเจรจาระหว่างยูเครนและรัสเซียเพื่อยุติสงคราม: หากการเจรจาประสบความสำเร็จและเกิดความสงบสุข จะทำให้เสถียรภาพในภูมิภาคสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนลดความต้องการลงทุนในทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่หากการเจรจาล้มเหลวหรือไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ความไม่แน่นอนในภูมิภาคจะส่งผลให้ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น
นอกจากนโยบายเหล่านี้
สิ่งอื่นๆ ที่น่าจับตามองก็รวมถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย การคุมเข้มของนโยบายการเงินและการเงิน เช่น การลดงบประมาณ หรือมาตรการควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำในระยะยาวด้วย
ทั้งนี้ ทองคำมักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยง ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในสภาพแวดล้อมทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองมีแนวโน้มที่จะมีผลต่อราคาทองคำในตลาดโลก